:: Mayonnaise-Club V.2 :: แล้วเราจะก้าวไปด้วยกัน

.:: Relax Club ::. => Lunalight Of Fiarapella => ข้อความที่เริ่มโดย: •♫♪มู๋nsะต่าe♫♪• ที่ เมษายน 12, 2556, 12:12:45 PM



หัวข้อ: ตอนที่ 13 ปราการสีเงิน (ตอนต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: •♫♪มู๋nsะต่าe♫♪• ที่ เมษายน 12, 2556, 12:12:45 PM
ตอนที่ 13 ปราการสีเงิน (ตอนต้น)



          ความรัก...โลกใบนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แรกเริ่มความรักถือกำเนิดจากการที่พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และแม้ว่ามนุษย์จะทำผิดบาป
มากเหลือคณา พระเจ้าก็ยังคงให้มนุษย์มีชีวิตต่อไป โดยลบล้างคำว่าทำลายด้วยคำว่าให้อภัย นั่นแหละคือบ่อเกิดของความรักอันยิ่งใหญ่
ที่เชื่อมโยงไปทุกๆ หนแห่ง ไม่ว่าพวกเรามนุษย์จะอยู่ที่ใดบนโลกก็ตาม


          มนุษย์...ผู้ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับความรักและลมปราณแห่งพระเจ้า มนุษย์จึงไม่สามารถคงอยู่ได้โดยไร้ซึ่งความรัก หลายคราที่ความรัก
ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข และหลายคราก็ไม่อาจแม้แต่จะอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ได้ มนุษย์หันหน้าเข้าห้ำหั่นแย่งชิง เพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่
ตนปรารถนามาไว้ในครอบครอง หารู้ไม่ว่า...แม้จะได้มาซึ่งความรัก ก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถอยู่เคียงข้างกันตลอดไป


          ตัวข้าเองเคยเข้าใจเช่นนั้น ด้วยสิ่งที่ข้าเห็น ด้วยสิ่งที่ข้าสัมผัส แต่มันก็เป็นแค่ความรู้สึกของข้าเพียงเท่านั้น เพราะข้าไม่เคยคิดที่จะมอบมัน
ให้กับใคร ทั้งที่เป็นแบบนั้น...ทั้งๆ ที่ข้าเป็นเช่นนั้น ข้ากลับถูกมอบความรักให้อย่างอบอุ่นและอ่อนโยน


          ในที่สุด...ข้าก็กลับมาอ่อนโยนอีกครั้งด้วยความรัก น้ำแข็งที่เคยเกาะกุมนั่นได้มลายหายไปจนหมดสิ้น อณูแห่งความสุขเพิ่มจนเอ่อล้น
เหมือนดอกไม้เบ่งบานออกมาจากหัวใจ เรื่องราวทั้งหลายเฉกเช่นเมื่อยามดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความฝัน แต่เมื่อนี่คือความจริง เพราะว่ามันคือความจริง
ดอกไม้ไม่อาจเบ่งบานได้ตลอดไป สักวันคงต้องร่วงโรยเหี่ยวเฉา เมื่อถึงคราวฤดูหนาวมาเยือนอีกครา สุดท้าย...ข้าก็ต้องสูญเสีย
สูญเสียเธอไป...ตลอดกาล


          การจากไปนั้นทำให้ข้าได้เข้าใจและลบล้างความคิดผิดๆ ที่เคยมีมา เพราะต่อให้ข้างกายข้าไม่มีคนผู้นั้นอยู่ ฤดูกาลหมุนเปลี่ยนเวียนผัน
อีกสักกี่หน แม้แต่ความตายก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้ ในเมื่อข้ายังคงมีลมหายใจอยู่ พร้อมๆ กับความรัก...ความรักที่ยังคงอยู่ตราบนิจนิรันดร์


ในโลกนี้ฉันมีเธอเพียงผู้เดียว
ทุกนาทีคอยก่อเกี่ยวด้วยหลงใหล
ฟากฝั่งฟ้าฝั่งฝันยังอีกไกล
ขอเพียงสมดั่งใจของสองเรา

ความหลงใหลมากเกินเอ่ยออกมา
แรงดึงดูดแรงหนักหนาดั่งแผดเผา
ข้ามผ่านเขตแห่งเหตุผลเหมือนบางเบา
มิอาจเอาใจหลีกหนีมันได้เลย

โชคชะตาเหมือนกลั่นแกล้งความรู้สึก
ในส่วนลึกไม่สามารถหาเหตุผล
หากยื่นมือเพื่อค้นหาในกมล
ความสับสนอาจจางลงจนเข้าใจ

แต่ไฉนในฤทัยไม่ว่างเปล่า
แม้นเรื่องราวสองเราหยุดเคลื่อนไหว
กลับพานพบหทัยรักยังตรึงใจ
แม้ร่างเธอสูญสิ้นไปไม่อาจลืม



          “...ยังไม่นอนอีกหรือครับ...”     

          เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นทำลายความนึกคิดถึงอดีตในวันวานของผู้ที่ยืนเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ตรงระเบียงทางเดินอาคารแห่งหนึ่ง
ของโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอส

          เมื่อผู้ที่เหม่อมองถูกถามจึงได้ละสายตาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวมากมาย แล้วหันหน้ามายังผู้เยี่ยมเยืยนดังกล่าว

          “....ไม่ใช่แค่ข้า เจ้าก็ด้วย...อังเดร์”

          ผู้ถูกถามพูดในทำนองย้อนคำ เล่นเอาคนถามกุมขมับแบบไร้ซึ่งสำเนียกใดๆ เพราะตัวผู้ถามเองก็ยังไม่นอนเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่ได้
มาเจอะเจอแล้วปะคารมกันแบบนี้เป็นแน่ แต่ยังไงเสียผู้ถูกถามก็ยังส่งยิ้มให้อย่างที่เคย... ระหว่างคนสองคน เรื่องมันมักจะลงอีหรอบนี้ทุกที

          “ท่านคงจะกำลังเป็นห่วงทางนั้นสินะครับ”     

          ผู้ถามยังคงตั้งคำถามเหมือนกับว่าตนนั้นอ่านใจอีกฝ่ายออก (ยังไม่เข็ดหลาบสินะ เหอะๆ)

          “...อา~ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากข้านักหรอก”

          ผู้ถูกถามก็ยังคงตอบแนวเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

          “...อึ..อึส...ตอบแบบจริงจังให้สมกับฐานะของท่านหน่อยไม่ได้หรือครับ ท่านมหาเวทย์เซอุส แอนโดรเมส”

          ผู้ถามเริ่มหมดความอดทนกับความไม่อินังขังขอบว่าใครจะคิดยังไงกับการกระทำของผู้ถูกถาม ทั้งๆ ที่ตัวผู้ถูกถามนั้นเป็นถึงระดับ
มหาเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ใครๆ ต่างให้ความเคารพนับถือ แต่ถ้าคนเหล่านั้นมาเห็นการกระทำแบบนี้ มันจะยังเหลือภาพพจน์ของความน่านับถือ
อยู่อีกงั้นหรือ นึกแล้วเจ้าตัวผู้ถามก็อยากจะลมใส่ซะตรงนี้ เพราะต้องเจออะไรในทำนองนี้มาหลายครั้งหลายครา ที่แย่กว่านั้นคือ ยังมีหนัก
มากกว่านี้อีกนี่สิ

          “แล้วคนอย่างมหาเวทย์เนี่ย เขาต้องตอบแบบไหนกันล่ะอังเดร์ ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้ดีเสียยิ่งกว่าข้าอีกนะ งั้นเจ้าก็มาเป็นมหาเวทย์
แทนข้าเสียเลยก็แล้วกัน ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”

          คำกล่าวของท่านมหาเวทย์เล่นเอาคนถามอย่างเอนเดเมี่ยนแทบสำลักออกซิเจนตายลงตรงนั้น ในที่สุดเอนเดเมี่ยนก็เถียงแพ้อาจารย์
อย่างมหาเวทย์เซอุส ในรูปแบบที่ไม่ต่างไปจากการเถียงกันมากว่าเดือนบรรจบปีและปีบรรจบอีกปี หรือก็คือตั้งแต่เขาถูกเลี้ยงดูในฐานะ
บุตรบุญธรรม และถูกอบรมสั่งสอนในฐานะศิษย์

          “จะให้ข้าทนอยู่เฉยได้อย่างไร จะให้ข้าเพิกเฉยโดยปล่อยให้ศิษย์ทั้งหลายเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายได้อย่างไร เป็นมหาเวทย์แล้วยังไง
สุดท้าย...ก็ไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป  ในเมื่อผู้เป็นมหาเวทย์อย่างข้าก็มีแค่สองมือเท่าๆ กับคนทั่วไป”

          สองมือที่มีไว้เพื่อสั่งสอนเหล่าศิษย์ สองมือที่มีไว้เพื่อโอบกอดเหล่าศิษย์ที่เปรียบเสมือนดั่งลูกหลาน สองมือที่มีไว้เพื่อปกป้อง แต่...
แค่สองมือนี้...ไม่มีทางที่จะปกป้องได้หมดทุกคน และ...ไม่สามารถดึงเอาชีวิตและวิญญาณของใครกลับคืนมาได้

          “....ศิษย์โง่เขลา ไม่อาจเข้าใจอย่างถ่องแท้เฉกเช่นอาจารย์ แต่สิ่งที่ศิษย์รับรู้มาโดยตลอด ซึ่งถูกส่งผ่านมาทางมหาเวทย์อย่างท่าน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในสายตาของผม ท่านไม่ใช่อาจารย์...”

          เอนเดเมี่ยนก้มหน้ายืนนิ่งต่อหน้ามหาเวทย์เซอุส ในขณะที่กำลังพูดเอ่ยถึงความรู้สึกทั้งหมดทั้งปวงที่ตนเก็บสั่งสมมานับแต่วันที่
ได้พบเจอกัน แต่คำลงท้ายนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน จิตใจของมหาเวทย์รู้สึกสั่นไหวในคำทิ้งท้าย ก่อนบุตรบุญธรรมของตนจะนิ่งเงียบไป

          “มือคู่นั้นของท่านมีค่ายิ่งกว่าคนทั่วไป ยิ่งกว่าเพชร นิล จินดา แม้กระทั่งของมีค่าในโลกนี้ก็ไม่อาจเทียบเทียม ข้าอยากจะกล่าวกับท่าน
เช่นนี้มาตั้งนานแล้ว เพราะมือคู่นั้นของท่าน!... ไม่ได้มีไว้เพื่อคนๆ เดียว แต่มีไว้เพื่อพวกเราเหล่าศิษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น...ท่านจึงไม่ใช่แค่
อาจารย์เท่านั้น แต่ท่านเป็นเสมือนบิดาของพวกเราเหล่าเมจ แมจิก และจอมเวทย์ทั้งหลาย”

          ท่านมหาเวทย์ถึงกับอึ้งไป อันเนื่องมาจากคำกล่าวของศิษย์เอก ซ้ำยังเป็นบุตรบุญธรรมของตน เอนเดเมี่ยนเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่
มันเป็นการเถียงครั้งแรกที่ดูเหมือนท่านมหาเวทย์จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับบุตรและศิษย์คนนี้อย่างไม่คาดหมายมาก่อน แต่ถึงกระนั้น...

          “ทำเป็นพูดดีไป...มือคู่นั้นของเจ้าก็ด้วยมิใช่หรือ ที่จะต้องมีไว้เพื่อปกป้องเฉกเช่นเดียวกันกับข้า มือคู่นั้นของเจ้าก็มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด
ไม่เพียงแต่เจ้ากับข้า...ทุกๆ คนก็ต้องใช้สองมือของตน เพื่อปกป้องบุคคลอันเป็นที่รัก และใช้สองขานั่น...ก้าวข้ามผ่านความมืดที่กำลัง
ตั้งตระหง่าน เพื่อไปให้ถึงแสงสว่างที่อยู่อีกฟากฝั่ง และจะไม่มีผู้ใด...ต้องหลงทางในความมืดอีกต่อไป”

          นี่แหละ...คือคำพูดที่สมกับการเป็นมหาเวทย์ บิดาแห่งศาสตร์เวทย์ที่น่าเคารพนับถือและยำเกรง

          “แต่...”

          มหาเวทย์เซอุสเหมือนจะมีคำกล่าวอะไรต่ออีกนอกเหนือจากนั้น ทำให้เอนเดเมี่ยนยังคงฉีกยิ้มค้างเอาไว้อยู่อย่างหนุ่มแสนเท่

          “นี่ก็ดึกมากแล้ว...เด็กน้อยอย่างเจ้าก็ควรจะดื่มวีต้าแล้วไปนอนซะ ส่วนตัวข้าไปหาอะไรกรึ๊บๆ สักหน่อยท่าจะดีนะ....”

          พอพูดจบประโยคดังกล่าว มหาเวทย์เซอุสก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันให้คงอยู่กับเอนเดเมี่ยน

          คำพูดตอนท้ายของท่านมหาเวทย์นี่มันอะไรกัน...นี่มันสมควรจะเป็นคำพูดของมหาเวทย์อย่างนั้นเร้อ~ อ๊าก~  เอนเดเมี่ยนคงจะ
อยากบอกคำๆ นี้ซะเหลือเกินในตอนนี้ 

          “ขอถอนคำพูด ~ แกไม่สมควรจะเป็นมหาเวทย์ หรืออาจารย์ของฉ้าน ~ ไม่สิไม่ควรจะเป็นพ่อฉ้านด้วย ~ แล้วไอ้วีต้านี่มันอะไรก๊าน ~
โลกนี้มันมีซะที่ไหนกันห๊า ~”



          5 วันผ่านพ้นไป

          โรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอสอยู่ในสภาวะที่สงบเงียบ เพราะในขณะนี้ได้กลายเป็นโรงเรียนร้างที่ไร้ซึ่งเหล่าศิษย์เมจ
หาได้เกิดการปะทะแต่อย่างใด เหล่าผู้ชุมนุมที่มารวมตัวกันโดยคำสั่งของสหพันธ์ดาราจักร ต่างพากันแปลกใจอย่างยิ่ง เนื่องมาจาก
ไม่มีทีท่าเลยว่าจะมีผู้ปองร้ายมาโจมตีโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย

          เหล่าผู้เป็นเสมือนสายสืบ และสายรายงานข่าวอย่างผู้เฝ้ามองกลับรายงานอะไรไม่ได้มากไปกว่าเหตุการณ์ในเส้นทางต่างๆ นั้น
ไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติหรือแม้แต่บุคคลที่มีพิรุษ

          เพื่อความไม่ประมาท จำต้องดูเหตุการณ์กันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมั่นใจได้ว่า โรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอสแห่งนี้ จะไม่เป็น
เขตพื้นที่อันตรายสำหรับเหล่าบรรดาเมจทั้งหลาย

          แต่สำหรับคนวงในเท่านั้นที่รู้ดีว่าการกระทำดังกล่าวนั้นนอกจากปกป้องเหล่าเมจทั้งหลายแล้ว เขาเหล่านั้นยังต้องปฏิบัติหน้าที่
อันสำคัญยิ่ง ในการรักษาความปลอดภัยแด่องค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งจะไม่มีวันเพิกเฉยไปเสีย



           หลังจากเดินทางมากว่า 5 วัน คณะผู้เดินทางที่มีกำหนดเป้าหมายปลายทางคือ มหานครเฮริโอโปรัส ยังคงนั่งอยู่ในรถม้าคันงาม
ที่มารับอย่างทันท่วงทีราวกับมีการนัดหมายกันมาแล้วล่วงหน้าก่อนการประกาศปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการ

          ซึ่งถ้าจะให้ชี้แจงความจริงก็คงจะไม่พ้นการแจ้งข่าวให้ทางมหานครเฮริโอโปรัสทราบล่วงหน้า ถึงการที่ทางโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์
จะดำเนินการปิดโรงเรียนเพื่อความปลอดภัยขององค์รัชทายาทอย่างองค์ชายเฮริออส เลียนเน ชามส์วัน

          บุรุษที่ตื่นเต้นไม่หยุดอย่างเซอเพนยังคงสาละวนกับการชมบรรดาทิวทัศน์ข้างทางแบบไม่ละสายตา ฝั่งที่นั่งตรงข้ามคือบุรุษอีกสองคน
ที่นั่งนิ่ง สายตาของผู้เชื้อเชิญไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตนนั้น แม้จะมองออกไปยังทิวทัศน์ภายนอก แต่ก็มีอาการเหร่มองคนข้างๆ เป็นระยะไป

          ส่วนบุรุษอีกคนที่มีใบหน้างดงามราวกับมิใช่บุรุษ เขาเองก็มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อชมความงามของทิวทัศน์ในสถานที่ต่างๆ
ที่รถม้าคันนี้วิ่งผ่านมาอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย สลับกับการมองตามมือไม้ที่ชี้ให้ดูโน่นนั่นนี่ของเซอเพน และมีบ้างบางครั้งที่ผู้อาสาพาเที่ยว
เอ่ยปากเกี่ยวกับสถานที่ที่น่าสนใจในเส้นทางที่พวกเขากำลังจะเดินทางผ่าน

          ในขณะที่แขกทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับการยลโฉมสิ่งต่างๆ ที่แปลกใหม่ และไม่เคยมาเยือนตามเส้นทางเหล่านี้มาก่อน
แขกที่นั่งข้างผู้อาสาพาเที่ยวเห็นว่าคนเอ่ยปากชวนดันนิ่งเงียบเนินนาน นานเสียจนทำให้นึกถึงเมื่อตอนที่เขาพบกันครั้งแรก

          ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน เป็นการเดินทางที่มิได้เงียบงันเช่นนี้ เนื่องมาจากการทะเลาะถกเถียงต่างๆ นานา การหยอกล้อ
ด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ น้อยๆ

          “เจ้าจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านอยู่รอมร่อ ไม่ดีใจเลยหรือ”

          แขกผู้นั่งข้างผู้อาสาพาเที่ยวเอ่ยปากถามคนใกล้ตัว ทำให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเพราะเขาเองกำลังเกรงว่าคนข้างเคียง
อย่างผู้ถามจะคิดเคืองเขาที่ทำให้เสียหน้าต่อหน้าบรรดารุ่นพี่และเพื่อนพ้อง

          “ไม่ใช่อย่างนั้น...ข้า...ดีใจ”

          ผู้อาสาพาเที่ยวตอบหน้านิ่ง ไม่ยอมแสดงอาการอะไรออกมา สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่วิวนอกหน้าต่างรถม้าที่กำลังตะบึ่งควบ
อย่างเร็วเท่าที่ฝีเท้าของม้าจะวิ่งไหว

          “นี่เจ้าดีใจอยู่งั้นเหรอ ถ้าเจ้าไม่บอกข้าก็คงจะคิดเพียงว่า เจ้ากำลังรู้สึกเฉยๆ ที่กำลังจะได้กลับบ้าน”

          แขกที่นั่งข้างๆ กล่าวตามที่เขาเห็นจากสีหน้า แน่นอนว่าคำพูดดังกล่าวนั้นเป็นดังลูกศรที่ไปกระทบอารมณ์ของอีกฝ่ายในทันที
อย่างไม่ต้องสงสัย

          “แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า”

          เขาตอบสั้นๆ อย่างปัดรำคาญ เพราะถ้าจะให้อธิบายก็คงจะต้องพูดกันอีกยาว ซึ่งมันอาจจะกลายเป็น
การถกเถียงกันจนเรื่องใหญ่โต และเขาเองก็ไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย

          “ทำอะไรก็ได้ที่แสดงอากับกิริยามากกว่าที่เป็นอยู่...”

          อาร์ดิสตัดประโยคเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ว่า พวกเชื้อพระวงษ์เนี่ยอาจจะมีกฎเกณฑ์การประพฤติ ปฎิบัติ
การวางตัวที่ค่อนข้างจะเข้มงวด เลยทำให้ตาคนนี้กลายเป็นพวกดูเย็นชาไปเสีย

          “ขอโทษทีเถอะนะครับคุณท่านทั้งสอง กระผมไม่ได้ตั้งใจจะปากยื่นปากยาวมาพูดแทรกแต่อย่างใด แต่ด้วยความใคร่รู้ จึงขอ
รบกวนเรียนถามหน่อยเถิดครับว่า อีกไกลไหมกว่าจะถึงที่หมาย”

          เซอเพนชักจะข่มความตื่นเต้นไม่ไหว อยากจะถึงที่หมายไวๆ แล้วก็ดูเหมือนจะไม่สนใจที่คนทั้งสองเริ่มเย้าแหย่กัน เหมือนกับว่า
มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้วระหว่างคนสองคนนี้ที่นั่งตรงข้ามกับเขา

          “ไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้”

          อืม...เป็นคำตอบที่ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ตกลงมันใกล้จะถึงหรือยังอีกไกลกว่าจะถึงกันแน่คร๊าบพี่น้อง

          “ อุบ! ...เข้าใจแล้วน่า ไม่ต้องทำตาแบบนั้นหรอก มันก็ใกล้จะถึงแล้วล่ะ อีกไม่ช้านาน”

          ในที่สุดเซอเพนก็ได้รับคำตอบอย่างที่ใจเขาปรารถนา แต่ก็ต้องถึงกับทำหน้ายักษ์ทำตามารใส่เฮเรียสผู้อาสาพาเที่ยวในครั้งนี้
ซึ่งไม่ได้อาสาพาเซอเพนเที่ยวสักนิด แต่เจ้าตัวดันเสนอตัวติดสอยห้อยตามมาด้วย แล้วยังจะมาทำหน้าบึ้งตึงใส่เสียอีกนี่



          7 วันแห่งการเดินทางท่องเที่ยว จุดหมายปลายทางของคณะเดินทางได้ใกล้เข้ามาแล้ว มหานครเฮริโอโปรัสกำลังรอพวกเขา
ไปเยี่ยมเยือนอยู่

          เมื่อเฮเรียสมองดูวิวภายนอกรถม้าได้ชั่วครู่ เขาก็รู้ได้ว่าบัดนี้พวกเขาได้เข้าสู่บริเวณอาณาเขตของมหานครเฮริโอโปรัสเป็นที่
เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะยังไม่เห็นผู้คนที่เป็นดั่งประชาชนของตนก็ตาม

          “หยุด...” 

          เสียงของผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ คนบังคับรถม้ากล่าวขึ้นในขณะที่สายตาของเขาจดจ้องไปที่ทางข้างหน้า

          คนบังคับรถม้าจึงดึงบังเหียนม้าอย่างเต็มกำลังทำให้รถม้าหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ส่งผลถึงผู้ที่อยู่ภายในรถม้าทั้ง 3 คน
ที่กำลังนั่งเพลินๆ ชมวิวข้างทางอยู่

          “มีอะไรอย่างนั้นเหรอ เอล” 

          เฮเรียสเปล่งเสียงถามคนที่สั่งให้หยุดรถม้า

          “มีผู้มาต้อนรับโดยมิได้คาดหมายเสียแล้ว...ท่านเฮเรียส” 

          เอลทูลตอบ

          “ถ้าเช่นนั้น ทักทายสักหน่อยจะเป็นไร” 

          เฮเรียสทำหน้าเรียบเฉย จนกระทั้งลงจากรถม้าไปสมทบกับบุรุษชื่อเอลที่ยืนรอคอยอยู่เบื้องหน้ารถม้าคันงาม

          แน่นอนว่านอกจากเฮเรียสกับเอลแล้ว อาร์ดิสและเซอเพนก็มาสมทบด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย จะเหลือก็เพียงแต่คนบังคับรถม้า
เท่านั้นที่ยังคงนั่งประจำที่ของตนอยู่เช่นเคย

          “ต้องกราบขอประทานอภัยอย่างยิ่งที่ต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ แต่หาได้ต้องกังวลไม่ ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี”

          เอลได้กล่าวแก่แขกผู้มีเกียรติยิ่งทั้งสอง ที่ได้รับคำเชื้อเชิญจากเจ้าชายแห่งมหานครเฮริโอโปรัส

          เฮเรียสนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำคนสนิทของตนแก่บุคคลอันเป็นมิตรสหายทั้งสอง เนื่องมาจากว่าตอนเดินทางออกจาก
โรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอสนั้นเร่งรีบอย่างด่วนจี๋ เพราะถนนหนทางและการสัญจรในขณะนั้นเริ่มจะติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ

          “ผู้นี้คือ เอลรัม อาซินดี โครเวียร์ หัวหน้าองค์รักษ์สายน้ำเงิน และเป็นคนสนิทของข้า”

          หลังคำแนะนำของเฮเรียส แต่ละคนต่างคำนับกันพอเป็นพิธี ด้วยเหตุที่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทักทายกันแบบพิธีรีตอง

          เบื้องหน้าของพวกเขามีบางอย่างที่ต้องเผชิญ ทั้งๆ ที่ในสายตาของพวกเขา ปราการสีเงินได้ตั้งตะหง่านอยู่ในม่านหมอก



จบตอนที่ 13 (ตอนต้น)
ต้องกล่าวขออภัยจริงๆ สำหรับคนที่อุตส่าห์ติดตามอ่าน
ไม่ได้มาลงต่อเสียนาน -*- ยังมีคนอ่านอยู่ไหมนะ
แต่ข้าน้อยก็มาลงให้พวกท่านอ่านต่อกันแล้วนะเจ้าค่ะ
และจะทยอยลงต่อเรื่อยๆ คร๊าา 8)
ขอบคุณผู้ที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ค่ะ  ::) ติ ชม ให้คำแนะนำได้เช่นเคยค่ะ
สุขสันต์วันปีใหม่ไทยนะจ้าาา  ;D
จากใจผู้แต่ง


หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 ปราการสีเงิน (ตอนต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: mummum ที่ กันยายน 06, 2556, 10:12:26 AM
ขอบคุณครับ