:: Mayonnaise-Club V.2 :: แล้วเราจะก้าวไปด้วยกัน

.:: Relax Club ::. => Lunalight Of Fiarapella => ข้อความที่เริ่มโดย: •♫♪มู๋nsะต่าe♫♪• ที่ มกราคม 17, 2554, 10:35:29 AM



หัวข้อ: ตอนที่ 8 ช่วงลองของ [ใหม่] (ตอนต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: •♫♪มู๋nsะต่าe♫♪• ที่ มกราคม 17, 2554, 10:35:29 AM

ตอนที่ 8 ช่วงลองของ [ใหม่] (ตอนต้น)


          ณ หอประชุม ภายในโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ ยูนิคอรอส ที่เต็มไปด้วยเหล่าจอมเวทย์ และเมจทุกระดับขั้น การชุมนุมครั้งนี้
จะขาดคนผู้นี้ไปเสียไม่ได้ เขาผู้นั้นก็คือ มหาเวทย์ที่เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้   

          “อาจจะช้าไปสักหน่อย แต่ก็ขอกล่าวว่า ยินดีต้อนรับเมจขั้นต้นทุกคน ที่ได้เข้ามาศึกษาศาสตร์แห่งเวทย์ ณ ยูนิคอรอสแห่งนี้
ข้าในนามผู้ก่อตั้ง วันนี้จะขอมอบรางวัลให้แก่ เมจขั้นต้นที่ได้รับตำแหน่ง King & Queen และ Prince & Princess แต่เนื่องจากมีผู้ที่
ได้รับตำแหน่ง King ถึง 2  คน และตำแหน่ง Prince ถึง 2 คนด้วยเช่นกัน ข้าจึงมีความเห็นว่า จะมอบให้ทั้ง 4 คนนี้ในภายหลัง โดยขอให้
ทั้ง 4 คนนี้ไปกับข้า เพื่อไปรับรางวัลที่ห้องของข้า ดังนั้นการมอบรางวัลจะเริ่มมอบจากตำแหน่ง Queen ก่อน....... ”

          มหาเวทย์เซอุส ได้ดำเนินการมอบรางวัลให้แก่ตำแหน่ง Queen และ Princess จนครบแล้วจึงค่อยปิดการชุมนุม

          ณ ระเบียงทางเดินแห่งหนึ่งในโรงเรียน

          “เข้ามาสิ...”   มหาเวทย์เซอุสเปิดประตูห้อง และเดินนำเข้าไป พร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญ

          ห้องที่แสนโอ่อ่าของมหาเวทย์ช่างดูขาวสะอาดตาไปซะหมด ข้าวของก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ที่ดูจะเยอะก็คงจะเป็นหนังสือ
ซึ่งวางอยู่ตามชั้นของตู้หนังสือ เรียกได้ว่าทุกตู้นั้นไม่มีที่ว่างสักนิดเดียว มีโต๊ะทำงานอยู่ตรงกลาง ด้านหลังเป็นหน้าต่าง  ดูๆ ไปแล้ว
ก็เหมือนห้องทำงานของคนทั่วไป ที่ด้านซ้ายของห้องมีโซฟาสีขาวตัวยาว ที่ดูแล้วสามารถนั่งได้ประมาณ 3-4 คน อยู่ชิดติดผนัง
และมีโต๊ะรับแขกตั้งอยู่หน้าโซฟาตัวนั้น นอกจากโซฟาตัวยาวแล้วก็มีโซฟาเดี่ยวอีก 2 ตัว ที่เข้าชุดกัน ตั้งปิดหัวท้ายโต๊ะรับแขก

          “อ้าวยืนกันอยู่ทำไมหละ ทำไมไม่นั่ง นั่งตามสบายเลย ไม่ต้องเกรงใจนะ” มหาเวทย์กล่าว

          ทั้ง 4 คนจึงนั่งลงที่โซฟาสีขาวนั่น หลังจากที่มหาเวทย์นั่งลงบนโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่ง  

          “ที่ข้าบอกจะมอบรางวัลให้พวกเจ้า แต่ข้าไม่รู้ว่าจะให้อะไรดี แล้วพวกเจ้าคิดว่าอยากจะได้อะไรกันบ้างหละ...” มหาเวทย์ถาม

          “อาวุธ....ผมอยากได้อาวุธครับ ท่านมหาเวทย์”

          เซอเพนกล่าวแทรกความเงียบที่ปกคลุม ด้วยการแสดงรอยยิ้มอย่างแช่มชื่น ดวงตาเป็นประกายแวววับ

          “เผ่าเงือกสินะ เจ้าชื่ออะไร” มหาเวทย์เอ่ยถามผู้ที่ตอบก่อนใครเพื่อน

          “ข้ามีนามว่า เซอเพน เอสเธอร์ ครับท่านมหาเวทย์”   เซอเพนกล่าวตอบชัดเจน

          “เซอเพน เอสเธอร์ อย่างนั้นเหรอ หึหึ พ่อเจ้าสบายดีหรือเปล่า...”   มหาเวทย์ซักถาม

          “หะ...หา คะ...ครับ ท่านพ่อสบายดีครับ หรือว่า...”   เซอเพนสังหรณ์บางอย่าง

          “ข้ากับพ่อของเจ้าเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน และเรียนศาสตร์แห่งเวทย์มาด้วยกัน เรา 3 คนเป็นเมจที่ได้รับการขนานนามว่า...
เสาหลักทั้ง 3 แห่งเบอร์มิวดร้า และเป็นระดับท็อปของโรงเรียนแห่งหนึ่ง โรงเรียนแห่งนั้นมีชื่อว่า เวเบียท เป็นโรงเรียนที่ลือชื่อมากในอดีต
มีเพียงผู้ที่มีความสามารถเท่านั้นจึงจะเข้าศึกษาที่นั่นได้ เรียกง่ายๆ ว่าเวเบียท เป็นแม่แบบของ ยูนิคอรอสแห่งนี้”

          เหมือนว่าเซอเพนจะสังหรณ์แม่นอยู่ไม่น้อย เมื่อคำตอบที่แจ่มชัดหลุดออกมาจากปากของมหาเวทย์ ทำให้เขาหายข้องใจในบัดดล

          แต่จะว่าไปแล้ว คำพูดที่ว่า เรา 3 คน นี่มันก็แปลกๆ อยู่นะ...ว่าไหมหละ คงจะไม่ได้หมายความถึงหนังเรื่องเราสองสามคนหรอก  
นอกจากมหาเวทย์แล้ว ก็มีพ่อของเซอเพน อืม...แล้วอีกคนมันใครกัน  

          “แล้วคนอื่นๆ หละ ว่าไง อยากได้รางวัลเป็นอะไร”   มหาเวทย์หันไปถามคนอื่นๆ บ้าง

          “สำหรับข้า ข้าคิดว่า สุดแล้วแต่ท่าน”

          คำตอบของเฮเรียสทำให้คนที่เหลือพยักหน้า เหมือนกับจะบอกว่า...คิดเหมือนกับเฮเรียสนั่นแหละ

          “งั้น...เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” มหาเวทย์กล่าวพร้อมกับลุกจากโซฟา

          มหาเวทย์เดินจากโซฟาไปยังอีกฟากหนึ่งทางขวา ซึ่งก็ยังคงมีตู้หนังสือ กับเครื่องดนตรีต่างๆ จำพวก เปียโน ไวโอลิน คอนทราเบส
และเครื่องดนตรีอื่นๆ อีกมากมาย

          หรือว่าท่านมหาเวทย์ของเราจะให้เครื่องดนตรีคนละชิ้น ไปเปิดวงออร์เคสตรากันหนอ

          มหาเวทย์เซอุส นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาจากหนึ่งในเครื่องดนตรีเหล่านั้น และเริ่มบรรเลงท่วงทำนองอัน
ไพเราะเพราะพริ้ง

          เกิดจะมาอารมณ์สุนทรีย์อะไรกันตอนนี้เนี่ยท่านมหาเวทย์ นี่ไม่ใช่ 7 สีคอนเสิร์ต หรือพวกประกวดบ้านเอเอฟนะ ของขวัญหละของขวัญ

ก๊อง…อย่าบอกนะว่านี่คือของขวัญที่ท่านจะมอบให้อ่ะ~

          ขณะที่มหาเวทย์เซอุส บรรเลง และขับร้องเพลงอยู่นั้น เปียโนที่ตั้งหันข้างอยู่ห่างจากกำแพงเล็กน้อยหลังหนึ่ง มันเหมือนจะขยับเขยื่อน
ทั้งๆ ที่ไม่มีใครไปแตะต้องมันเลย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เปียโนหรอกที่ขยับ แต่เป็นพื้นที่อยู่ด้านล่างเปียโนต่างหาก รวมไปถึงกำแพงที่ติดกับพื้น
ตรงนั้นนั่นก็ด้วย  มันกำลังหมุนเป็นครึ่งวงกลมทำมุม 45 องศา เผยให้เห็นทางลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเรียบๆ ของห้อง แท้จริงแล้วมันมิได้
ดูธรรมดาอย่างที่คิด ทำให้ผู้มาเยือนทั้ง 4 ทึ้งไปตามๆ กัน และคงจะคิดไปในทางเดียวกันว่า..... ‘กะแล้ว ว่าห้องของมหาเวทย์มันต้องไม่ธรรมดา’

          (มันต้องไม่ธรรมดาดิ...ธรรมดาแล้วมันจะเร้าใจคนอ่านเหรอ หึหึ)

          ขนาดที่ทุกคนมองดูผลงานของท่านมหาเวทย์ตาปริบๆ ท่านมหาเวทย์ก็ลุกจากเก้าอี้ มายืนอยู่ตรงช่องทางที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของพื้น
และกำแพง บริเวณเปียโนหลังงามนั่น

          “จะตกใจยังเร็วไป....นี่แค่โหมโรงนะเด็กน้อย”  

          เด็กน้อย....ท่านผู้อ่านไม่ต้องแปลกใจกับคำพูดของท่านมหาเวทย์แต่อย่างใด เพราะถึงพี่แกจะดูหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว แต่อายุอานาม
ปาเข้าไปเกือบหลักร้อยแล้วกระมัง ส่วนสาเหตุเกี่ยวกับรูปลักษณ์ท่านมหาเวทย์เซอุสที่ยังงั๊ยยังไงก็ดูอ่อนเยาว์นั้น...ไม่ขอกล่าว ไว้ให้เจ้าตัวเขา
เผยความลับเอง ไอ้ความหนุ่มแบบไม่ต้องใช้ เครื่องประทินโฉม เครื่องมือไฮเทค หรือหล่อด้วยมือแพทย์ที่ยันฮีแบบนี้เนี่ย

          (เรื่องนี้ไม่มีการทำศัลยกรรมของเกาหลีนะจ๊ะ หล่อกันแบบตั้งแต่เกิดเลยทีเดียว อะไรจะธรรมชาติสรรสร้างขนาดนี้)

          ท่านมหาเวทย์เดินนำเข้าไปก่อน เพื่อให้ผู้ที่ยืนอยู่ที่เหลือตามมา

          “เซอเพน.....เซอเพน!!” อาร์ดิสเรียก เมื่อเห็นผู้เป็นเพื่อนยืนเอ๋อ อ้าปากหวอ เผลอๆ น้ำลายแอบหกด้วยมั้งหนะ...แหม้...เสียภาพพจน์
ความหล่อหมด

          “หะ...หา” เซอเพนหลุดจากอาการเอ๋อเข้าขั้น กลับมาทำหน้าหล่อเหมือนปกติ

          อาร์ดิสพยักหน้าหนึ่งครั้ง เป็นการบอกว่า...มาสิ ตามมาเร็วๆ  เซอเพนจึงเคลื่อนตัวตามไป

          เมื่อลอดผ่านช่องทางลับนั่นเข้าไป ก็พบว่ามันคือเส้นทางที่ไม่ยาวมากนักที่ถูกขนาบไว้ด้วยโคมไฟ ด้านซ้ายเป็นโคมจันทรา
ด้านขวาเป็นโคมอาทิตย์ รูปลักษณ์ของโคมนั้นประกอบไปด้วยโลหะที่มีเคล้าโครงสัญลักษณ์ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ตามช่องว่างๆ
ของโลหะถูกประดับไปด้วยกระจกสี

          แสงเทียนจากโคมไฟที่ลอดผ่านกระจกนั้นมีแสงสีแดง และแสงสีเหลือง ส่องกระทบกับกำแพงที่ขนาบข้างทำให้มันดูงดงามสุดจะบรรยาย

          แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก....เมื่อสายตาสะดุดกึก ยามเมื่อมองไปยั่งผู้เป็นมหาเวทย์ ไม่ใช่ว่าตกใจมหาเวทย์หรอก แต่ตกใจกับสิ่งที่
มหาเวทย์ทำอยู่ตะหาก

          ด้วยเหตุที่ว่าท่านมหาเวทย์กำลังยืนสบายเท้า บนที่ซึ่งไม่น่าจะยืนอยู่ตรงนั้นได้ ก็เพราะว่าพื้นมัน....พื้นมันไม่มีอ่ะ~

          เล่นเอาเซอเพนตาเถลือกถลนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา ภายในจิตใจของเขาอุทานแทนที่จะกล่าวออกมาว่า เฮ้ย....ทำได้ยังไงก๊าน....
ท่านมหาเวทย์เป็นเดวิด คอร์ปเปอร์ฟิลด์เร้อ....

          ผิดกับอีก 3 คนที่เหลือที่มองดูเหตุการณ์ดังกล่าว ในทำนองว่าครุ่นคิดหาสิ่งที่ทำให้ท่านมหาเวทย์ทำเช่นนั้นได้

          คอร์วีแดเป็นคนแรกที่ทำการค้นหาความจริงด้วยการสัมผัส โดยการใช้ปลายเท้าของตน ยื่นไปแตะตรงที่ไม่มีพื้นนั้น

          จึ๋งๆ จึ๋งๆ  ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เวทย์มนต์กลใด เมื่อปลายเท้าของคอร์วีแดสัมผัสได้ถึงบางอย่างในที่ๆ ไม่น่าจะมีอะไร

          “พื้นกระจกอย่างนั้นเหรอ” เฮเรียสเอ่ยถาม เมื่อเห็นการกระทำของคอร์วีแด

          “น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่มันไม่กว้างเท่าใดนัก ประมาณ 2 คนเดินเท่านั้น” คอร์วีแดอธิบายหลังพิสูจน์แน่ชัด

          “ถูกกึ่งหนึ่ง แต่มันไม่ใช่พื้นกระจก มันถูกสร้างด้วยพลังเวทย์ ซึ่งใช้การอัดพลังเวทย์ธาตุน้ำลงสู่ลูกแก้ว เพื่อสร้างอาณาเขต
พื้นที่ที่คล้ายกระจกเช่นนี้ ข้าคิดค้นสร้างมันขึ้นมา และเรียกมันว่า เนตรสวรรค์เบิกเมฆา สรรพคุณของมันก็อย่างที่พวกเจ้าเห็นนั่นแหละเด็กน้อย”    

          เมื่อท่านมหาเวทย์กล่าวจบ ก็มุ่งตรงไปข้างหน้า คนข้างหลังค่อยๆ ทยอยเดินตามกันมา สายตานั้นมองเท้า สลับกับการมองไปข้างหน้า
ปลายทางนั้นมีประตูอยู่บานหนึ่ง

          ประตูบานนั้น ดูแข็งแรงทนทาน ดูท่าว่าคงจะทำด้วยแร่ชั้นเลิศ แม้ว่าประตูจะดูเป็นสีใส แต่เมื่อมองทะลุผ่านไป กลับไม่เห็นอีกฟาก
ของประตู เหมือนกับว่าเป็นแค่กระจกที่มีเอาไว้หลอกๆ เท่านั้น ตรงกลางของบานประตู มีรูปวงกลมสลักเสลาอยู่ นอกวงกลมนั้นเต็มไปด้วย
ลวดลายแกะสลัก คล้ายๆ กับรูปปุยเมฆ วงกลมนั่นคงจะเป็นพระอาทิตย์ หรือไม่ก็พระจันทร์

          มหาเวทย์เอามือซ้ายวางทาบลงตรงกลางรูปวงกลมดังกล่าว    

          “ทุกทิวาราตรีมีเพียงจันทร์ ก่อนตะวันแห่งรุ่งอรุณจะพลันฉาย”

          แกร๊ก! แกร๊ก! ว้าบ....

          ประตูนั้นเปล่งแสงสีเหลืองทองอร่าม ก่อนจะเปล่งแสงสีแดงเจิดจ้า เมื่อท่านมหาเวทย์เอามือที่สัมผัสนั้นออก วงกลมตรงกลางพลัน
เปลี่ยนจากสีใสกลายเป็นสีเหลือง ตามด้วยเปลี่ยนเป็นสีแดง สุดท้ายเป็นสีเหลืองครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นสีแดง ก่อนจะค่อยๆ ผ่ากลางระหว่าง
สีเหลือง กับสีแดงแล้วจึงแง้มออกทั้งสองฝั่ง

          “พร้อมหรือยัง อย่าตกใจหละ”   มหาเวทย์เอียงคอหันมากล่าวเช่นนั้น

          ‘อะไรอีกหละ ทีนี้จะมาไม้ไหนอีก’ ทุกคนต่างกล่าวในใจเป็นคำๆ เดียวกัน

          เมื่อผู้เป็นมหาเวทย์ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป 4 คนที่เหลือจึงก้าวตามไปติดๆ แล้วก็ต้องตกใจกับความอลังการของห้องที่อยู่หลังประตูลับนั่น

          มันเป็นห้องที่กว้างขวาง ที่น่าตกใจก็คือ เต็มไปด้วยอาวุธ สุดจะหาคำมาบรรยายว่ามันมากมายขนาดไหน

          มีตั้งแต่มีดสั้นของลี้คิมหวง(มาได้ไงเนี่ย)  กระบี่ปราบมาร ดาบมังกรหยก (ไปจิ๊กของเอี้ยก้วยมาแหงๆ) แซ่...(ออกแนวซาดิสแล้วแหะ)
หอก (ไม่หักนะ) ไม้เท้า ธนูของเลโกลาส (ลูกไม่เคยหมด) ไม้คฑา ขวานฟ้า (ใช้แล้วหน้าจะดำไหมเนี่ย) ฆ้อน (เด็กเล่น) ไม้ตีสุนัข (เฮ้ย...
ไปขโมยพรรคกระยาจกมาเร้อ...) ชุดเกราะแบบพวกไอรอนแมนอะไรประมาณนั้น (อินเทรนหน่อยนึง) โล่ไม้ และโล่เหล็ก (ออกจะคล้ายๆ
ฝาตุ่มของบ้านเราๆ) หมวกอัศวิน (มันก็ไอ้หมวกกันน็อคดีๆ นี่แหละ คล้ายอยู่) รองเท้าอย่างกับจะใส่ไปออกศึกสงคราม กระบอง 3 ท่อนของ
หวงเฟยหง ปืนผาหน้าไม้ บ้องเป่าลูกดอกอาบยาพิษ โอ้ยสารพัดสารเพเต็มไปโม้ด....  
     
          ทุกคนดูจะตื่นตา ไปกับอาวุธที่เรียงรายอยู่เต็มห้อง จนไม่อาจนับได้ว่ามันมีทั้งหมดกี่ชิ้น

          “ท่าทางไม่ตกใจอย่างที่คิดแหะ กะว่าคงจะตกใจกันน่าดู แต่ไม่มีเสียงอุทานสักนิดเลยนะ ควบคุมอารมณ์ได้ดี หรือว่าเป็นพวกที่
เย็นชากันนะเนี่ย ฮ่ะ ฮ่ะ”   มหาเวทย์เปรยออกมา

          เปล๊า...ไม่ตกใจเล้ย....ซะเมื่อไหร่กันหละ ตะลึงกันจนไม่รู้จะอุทานออกมาว่าอะไรตะหาก ขนาดจอมโว๊กว๊ากอย่างเซอเพนยังงิด
นี่มันห้องคลังแสงหรือยังไงกันเนี่ย แอบซุกเอาไว้คนเดียวแบบนี้ ท่านมหาเวทย์นี่ท่าทางจะเป็นพวกหัวรุนแรง ทำนองว่าชอบเล่นสงคราม
เต็มรูปแบบแหงๆ ถ้าเป็นไปได้คงมีพวกบีบีกันปะปนอยู่แน่ๆ  เอ๊ะ....หรือว่าจะมีจริงๆ โอ้แม่เจ้า...

         มหาเวทย์เซอุสมองไปโดยรอบ.....ดูจากจำนวนอาวุธแล้ว คงจะสะสมมาทั้งชีวิตกันเลยทีเดียว มันก็คงมีคำว่าผูกพันอยู่ไม่น้อย
อดีตที่น่าจดจำ อดีตที่ฝังใจ และอดีตที่ไม่อยากจะระลึกถึงมัน แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริง และไม่อาจหลีกหนีได้ มันยังคงติดตรึงอยู่มิรู้คลาย  

         “เหตุว่าผู้เป็นนายเลือกอาวุธ และอาวุธเลือกผู้เป็นนาย”   มหาเวทย์พรรณนาออกมา

         “ใช่ว่าอาวุธที่เจ้าเลือกมันจะตอบสนองเจ้าเสมอไป หากมิมีจิตใจที่สื่อถึงกันแล้วไซร้ อาวุธก็ไร้ซึ่งพลัง”  

         มหาเวทย์ขยายความจากคำที่กล่าวมาเมื่อกี้

         มันเป็นคำพูดที่ลึกซึ้งมาก อาวุธมิได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือ หรือสิ่งของที่ไร้หัวใจ แต่อาวุธคือสิ่งหนึ่งที่มีจิตสำนึก ซึ่งรับรู้ได้ว่า
บุคคลที่ใช้มันนั้น มีความรู้สึกเช่นไร ต้องการอะไร หรือแม้แต่ความดีชั่วที่อยู่ในส่วนลึกส่วนหนึ่งของหัวใจของผู้ที่ใช้มัน

         ผู้ที่สร้างอาวุธชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็มิได้สร้างโดยไม่มีเหตุผล ล้วนแต่สร้างมาเพื่อจุดประสงค์บางประการ หรือเป้าหมายบางอย่าง
ท้ายที่สุดแล้วอาวุธก็คือส่วนหนึ่งของผู้ที่ใช้ เป็นเหมือนชิ้นส่วนที่มาช่วยเติมเต็ม หรือทำให้ผู้ที่ใช้นั้นสมบูรณ์

         ดังนั้นการเลือกอาวุธถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะมองข้ามไปเสียไม่ได้ ด้วยว่าอาวุธจะเกื้อหนุนผู้ใช้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ
การผสานจิต ระหว่างผู้ใช้ และอาวุธนั้นๆ

         “จงใช้จิตวิญญาณ เรียกหามันเถิด....อันว่าอาวุธจะขานรับผู้ซึ่งควรค่าที่จะครอบครองมัน”   มหาเวทย์กล่าว


---------------------------จบตอนที่ 8 (ตอนต้น)---------------------------

จะได้อาวุธคู่กายแล้ว อิอิ

---------------------------จากใจผู้เขียน---------------------------